บท 4: เข้าใจนาฬิการ่างกายสร้างสมดุลพลังงานในทุกวัน

ทุกเซลล์ในร่างกายมีนาฬิกา ที่ทำงานร่วมกันเป็นอย่างเป็นระบบ

ทุกอย่างในร่างกายตั้งแต่ ระดับพลังงาน, ความตื่นตัว, ความรู้สึก, การนอน, ระบบย่อยอาหาร, ระบบภูมิคุ้มกันถูกควบคุมจัดการอย่างเป็นเวลา โดยในร่างกายเรานั้นประกอบด้วย 37 ล้านล้านเซลล์ และแทบทุกเซลล์ทำงานตามนาฬิกาชีวภาพ

ในสมองเรามีนาฬิกาส่วนกลาง มักถูกเรียกว่า “master clock” หรือ suprachiasmatic nucleus (SCN) ทำหน้าที่ในการควบคุมส่งสัญญาณให้อวัยวะในร่างกายรู้ว่าเป็นเวลาตื่น หรือนอนหลับ

นอกจาก master clock แล้ว ร่างกายเราก็มีนาฬิกาอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกันอยู่ในอวัยวะต่างๆ ของเรา เช่น ตับ, ลำไส้, ไต, กล้ามเนื้อ, หรือแม้แต่เนื้อเยื่อไขมัน ซึ่งอวัยวะเหล่านี้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเวลาที่เรากิน, เคลื่อนไหว, ใช้กำลัง, และนอนหลับ

นาฬิกาทั้งหมดในร่างกายทำงานร่วมกันเป็นเครือข่ายเชื่อมโยงถึงกัน เรียกว่า ระบบ circadian rhythm

หากเราดูแลให้เวลาอวัยวะทุกส่วนประสานไปในแนวทางเดียวกันได้ ร่างกายเราก็จะทำงานแบบร่วมกันอย่างสวยงามมีประสิทธิภาพที่สุด

Circadian Rhythms ทำงานยังไง

คำว่า Circadian มาจากภาษาลาติน “circa diem” แปลว่า “ราวๆ 1 วัน” ซึ่งตรงกับนาฬิกาในร่างกายที่มีรอบวงจรประมาณ 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นตัวกำหนด

  • เวลาที่เราง่วงนอน หรือ ตื่นตัว

  • การทำงานระบบเผาผลาญอาหาร

  • เวลาที่กล้ามเนื้อเราแข็งแรงที่สุด

  • เวลาที่ฮอร์โมนแต่ละชนิดหลั่งมากที่สุด



ฮอร์โมนสำคัญที่หลั่งตามรอบนาฬิการ่างกาย

  • Cortisol: สะสมสูงสุดช่วงเช้า หรือเวลาตื่นนอนเพื่อทำให้ร่างกายมีความตื่นตัวและพลังงาน

  • Melatonin: สะสมสูงสุดเวลาใกล้นอน เพื่อเตรียมให้ร่างกายเข้าสู่ช่วงหลับลึก

  • Insulin: ร่างกายตอบสนองได้ดีสุดในช่วงเช้าและบ่าย น้อยที่สุดช่วงกลางคืน

  • Growth hormone: สูงสุดในช่วงเริ่มต้นของการหลับลึก เพื่อซ่อมแซมและฟื้นฟูร่างกาย


ความเข้าใจในการหลั่งฮอร์โมนสำคัญๆ ในร่างกาย จะช่วยให้เรารู้เหตุผลว่า เพราะอะไรเราควรทำบางอย่างในช่วงเช้า ช่วงบ่าย หรือช่วงกลางคืน เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถผลิตฮอร์โมนและใช้ได้เต็มที่

สัญญาณบ่งบอกว่านาฬิการ่างกายเราผิดปกติ

  • รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าระหว่างวันบ่อยๆ

  • นอนไม่ได้คุณภาพตอนกลางคืน

  • อาการมึนงงและหลงลืมง่าย

  • อยากอาหาร โดยเฉพาะที่มีน้ำตาลสูง

  • ระบบขับถ่ายที่ไม่เป็นเวลา และไม่ปกติ



โรคเสี่ยงสูง เมื่อนาฬิการ่างกายรวนเป็นเวลานานๆ

  • เบาหวาน จากความผิดปกติของการหลั่งและใช้ insulin ของร่างกาย

  • ภูมิคุ้มกันต่ำ หรือบกพร่อง

  • ซึมเศร้าและวิตกกังวล

  • รู้สึกหรือมีอาการจากความไม่สมดุลของฮอร์โมน

  • เพิ่มการอักเสบหรือเร่งการเสื่อมถอยของร่างกาย



ลองจินตนาการในร่างกายของคนเรานั้นเป็นวงดนตรี Orchestra โดยมีอวัยวะต่างๆ เป็นนักดนตรีทำคนละบทบาท เล่นในช่วงเวลาที่ต่างกัน โดยมีแสง, อาหาร, การเคลื่อนไหว กิจกรรมต่างๆ เสมือนเป็นเครื่องดนตรี

หากนักดนตรีคนไหน เริ่มเล่นผิดก็จะทำให้เพลงเสีย และคนอื่นๆ เล่นผิดเพี้ยนไปด้วย

หากทุกคนเล่นประสานกันอย่างลงตัว เพลงก็จะออกมาทรงพลัง ไพเราะอย่างที่สุด

วิธีปรับสุขภาพนาฬิการ่างกาย แบบทำได้เองทุกวัน

ช่วงเช้า:

  • ดื่มน้ำครึ่งลิตร โดยอาจเติมเกลือหิมาลายันเพื่อรักษาระดับน้ำในร่างกาย

  • ให้เวลาร่างกายได้ขจัดสารพิษ ของเสียผ่านทางการปัสสาวะและขับถ่ายช่วง 2 ช.ม. หลังตื่น

  • ออกไปรับแสงแดดยามเช้า 6-8 โมง เข้าดวงตาภายในช่วง 60 นาทีหลังตื่น

  • หากดื่มกาแฟ ให้ดื่มหลังตื่นนอน 2-3 ชม. เพื่อใช้ประโยชน์จากฮอร์โมน cortisol

  • เคลื่อนไหวร่างกาย (เดิน, ยืด, ออกกำลังกายเบาๆ)

  • ทานอาหารเช้าที่มีโปรตีน ไขมันดี วิตามิน และแป้งในสัดส่วนที่ดี

ช่วงกลางวัน:

  • หลังทานอาหารใช้เวลาเดินประมาณ 10-15 นาที

  • ปรับแสงในบ้าน, ห้องสว่างปกติ แทนที่จะสลัวๆ

  • จัดเวลาทำงานที่ต้องการสมาธิจดจ่อ ช่วง 9 โมงเช้า - บ่าย 2

ช่วงค่ำก่อนนอน:

  • ลดแสงในห้องให้สลัว 90 นาทีก่อนนอน

  • เลี่ยงแสงสีฟ้าจากหน้าจออุปกรณ์มือถือ ทีวีต่างๆ

  • กำหนดเวลาเข้านอนเป็นเวลา (+/- 30 นาที)

  • งดกินก่อนนอน 2-3 ช.ม.

เทคนิครักษานาฬิการ่างกาย สำหรับคนที่ทำงานกะดึก หรือต้องนอนดึก

  • ใช้แว่นตากรองแสงสีฟ้าหลังช่วงค่ำถึงก่อนเข้านอน

  • ติดตั้งโคมไฟสว่างเลียนแสงธรรมชาตินอกบ้าน (10,000 lux)

  • เข้านอนเป็นเวลา แม้ในวันหยุด

  • ทานอาหารมื้อหลักในเวลากลางวัน ถึงแม้ต้องทำงานถึงดึก

  • สร้างบรรยากาศให้เหมือนกลางคืน หากต้องนอนช่วงกลางวัน เช่น ใช้ม่านทึบแสง และเสียงความถี่ต่ำ (white noise) เพื่อปรับให้สมองผ่อนคลายสู่ห่วงการหลับ


แต่ละอวัยวะทำงานดีที่สุดช่วงไหน

แต่ละอวัยวะในร่างกายมีนาฬิกาของมันเอง สื่อสารประสานกับ SCN

  • ตับ: ทำงานดีสุดช่วง ตี 1 - ตี 3 ในการขจัดของเสียและปรับสมดุลระดับน้ำตาลในร่างกาย

  • ระบบทางเดินอาหาร: ย่อยดีที่สุดช่วง 7-9 โมงเช้า กว่าช่วงเวลาอื่นๆ

  • ตับอ่อน: ตอบสนองต่อ insulin ในการย่อยแป้งและน้ำตาลดีสุดช่วง 9-12 โมงเช้า

  • กล้ามเนื้อ: แข็งแรงที่สุดช่วงบ่าย 2-6 โมง

  • สมอง: ตื่นตัวมากสุดช่วงเช้า และค่อยๆ อ่อนลงช่วงหลังบ่าย 3 โมง

โดยขึ้นอยู่กับนาฬิการ่างกายของแต่ละคนด้วย ว่าเป็นคนที่นอนตื่นช่วงกี่โมง

สรุปท้ายบท

ร่างกายของเราไม่ใช่เครื่องจักรที่ทำงานได้ตลอดเวลา 24 ชม. แต่มีระบบที่มีจังหวะเวลาขึ้น-ลง เพื่อช่วยให้เราทำสิ่งต่างๆ ระหว่างวันได้เต็มที่ และฟื้นฟู ซ่อมแซมให้กลับไปพร้อมสำหรับวันใหม่

การเข้าใจจังหวะนาฬิการ่างกายจะช่วยให้เราสามารถจัดการและเลือกช่วงเวลาที่จะทำกิจกรรมได้อย่างเหมาะสม

และช่วยให้เราสามารถรับมือกับงานสถานการณ์เร่งด่วนที่เข้ามาทำให้ตารางชีวิตเรารวนกระทันหันด้วยความเข้าใจ

เพียงใช้ชีวิตตามนาฬิกาให้ลงตัวเท่าที่ทำได้ ก็ช่วยปลดล็อกให้เรามีพลังเหลือล้น, หลับดีขึ้น, สมาธิคิดเฉียบคม, และการจัดการอารมณ์ที่ดีได้ตลอดทั้งวัน

แหล่งอ้างอิงศึกษาต่อยอด เพิ่มเติม

หนังสือ

  • The Circadian Code - Dr. Satchin Panda

  • Energize - Michael Breus, Ph. D. Stacey Griffith

  • Longevity By Design - นายแพทย์นรินทร สุรสินธน

คอร์สเรียน

  • Mindvalley - The Mastery of Sleep

สถาบัน

Created with